my calendar

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ไม้ขีดไฟแสงประกายในอดีต



  

ภาพจาก หนังสือเรื่อง สิ่งพิมพ์คลาสสิค
ประวัติไม้ขีดไฟ
          ไม้ขีดไฟกำเนิดขึ้นในค.ศ.1827 โดยนักเคมีชาวอังกฤษชื่อจอห์น วอล์คเกอร์ ไม้ขีดที่ทำขึ้นทำจากเศษไม้จุ่มปลายด้วยส่วนผสมของแอนติโมนีซัลไฟด์ โปตัสเซียมคลอเรต และกาวจากยางไม้ เมื่อเอาไม้ขีดที่ทำขึ้นมานั้นไปขีดกับอะไรที่มีผิวที่หยาบๆ  เช่น กระดาษทราย ก็จะทำให้เกิดการเสียดสีจนเกิดประกายไฟ ไม้ขีดแบบนี้เรียกกันว่า ลูซิเฟอร์ ผู้ถือแสงสว่าง แต่ไม้ขีดที่มีส่วนผสมชนิดนี้มีปัญหาตรงที่ขีดติดบ้างไม่ติดบ้าง
          ต่อมาใน ค.ศ.1930  ชาร์ลส์ โซเรีย ชาวฝรั่งเศสได้ผลิตไม้ขีด ไฟที่ปลายหุ้มด้วยฟอสฟอรัสเหลืองซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้ดี แต่ฟอสฟอรัสเหลืองเป็นวัตถุมีพิษ ทำให้คนในโรงงานไม้ขีดป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า Phossy Jaw ซึ่งโรคนี้มีอาการร้ายแรงถึงขั้นพิการและเสียชีวิตเลยก็ว่าได้
          ต่อมาในปี ค.ศ.1940  มีการค้นพบฟอสฟอรัสแดงที่มีความปลอดภัยในการทำไม้ขีดไฟขึ้น โดยไม้ขีดไฟชนิดนี้จะจุดได้ก็ต่อเมื่อขีดลงบนพื้นที่ที่เตรียมไว้เท่านั้น ส่วนหัวไม้ขีดนั้นจะถูกหุ้มด้วย โปตัสเซียมคลอเรต และข้างกล่องไม้ขีดไฟจะถูกฉาบด้วยฟอสฟอรัสแดง เมื่อโปตัสเซียมคลอเรต ตกกระทบหรือเสียดสีกับฟอสฟอรัสแดงจะเกิดปฏิกิริยาความร้อนมากพอที่จะทำให้จุดไฟติดได้ ส่วนวัสดุก็ใช้ทำก้านไม้ขีดไฟได้ด้วย เช่นด้วยเคลือบขี้ผึ้ง และกระดาษแข็งเคลือบขี้ผึ้ง แต่ไม้เป็นวัสดุที่ใช้ทำก้านไม้ขีด ได้ดีที่สุด ไม้สำหรับทำก้านไม้ขีดควรจะเป็นไม้สีขาว ไม่มีกลิ่น เนื้อไม้ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไปนิยมใช้ไม้มะยมป่า ไม้มะกอก ไม้อ้อยช้าง ไม้ปออกแตก เป็นต้น ก่อนจุ่มทำหัวไม้ขีดจะต้องเอาปลายก้านไม้ขีดที่จะติดหัวนั้นไปจุ่มขี้ผึ้งพาราฟินก่อน หากเนื้อไม้แข็งเกินไปก็จะไม่ดูดซึม พาราฟิน พาราฟิน นี้จะเป็นตัวส่งผ่านจากหัวไม้ขีดไปสู่ก้านไม้ขีดหากไม่มีพาราฟินพอขีดไฟติดปุ๊บไฟก็จะดับปั๊บ และหากเนื้อของไม้อ่อนไปก้านไม้ขีดก็จะไม่คงรูปเป็นก้านตรงได้
   

ภาพจาก หนังสือเรื่อง สิ่งพิมพ์คลาสสิค
ไม้ขีดไฟในประเทศไทย
          ไม้ขีดไฟยุคแรกๆ ที่เข้ามาขายในเมืองไทยเข้ามาประมาณกลางสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเป็นไม้ขีดจากประเทศสวีเดนที่มีบาทหลวงมาเผยแพร่ศาสนานำเข้ามา และต่อมาก็เป็นไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นที่มีการจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม้ขีดไฟเหล่านี้จะมีตราและสลากบนกล่องไม้ขีดไฟมากมายโดยนักสะสมไม้ขีดไฟจะเรียกฉลากไม้ขีดไฟนี้ว่า "หน้าไม้ขีดไฟ" นักสะสมที่รวบรวมสะสมหน้าไม้ขีดไฟนิยมเก็บไว้ในสมุดบัญชีเล่มใหญ่ๆแล้วปิดกาวหรือเจาะกระดาษสอดมุมไว้ ไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นนั้นจะมีมากกว่าประเทศอื่นโดยจะมีรูปหน้าไม้ขีดหลายรูปแบบ ได้แก่ รูปคน รูปสัตว์ รูปผลไม้ รูปดอกไม้ และจะมีคำว่า "เมด อิน เจแปน" เป็นภาษาอังกฤษบอกไว้ข้างใต้หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของหน้าไม้ขีดเพื่อบ่งบอกว่าไม้ขีดไฟนั้นมาจากประเทศญี่ปุ่น และในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ญี่ปุ่นก็ได้ทำ หน้าไม้ขีดไฟเป็น ภาพวาดของรัชกาลที่ 5 ทรงม้าในหลายๆ แบบ โดยใต้รูปจะเขียนเป็นภาษาไทย ว่า "พระรบ" ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเป็นคำว่า "พระรูป" มากกว่าแต่เนื่องจากญี่ปุนคงเผลอลืมใส่ ป ปลา แทน บ ใบไม้ และลืมใส่ สระ อู หรือไม่งั้นก็เพราะชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยจะรู้ภาษาไทยมากมายเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ยังมีรูปทหารยืนถือธงช้างอยู่ข้างพระองค์และรูปช้างสองเชือกหันหน้าเข้าหาพระจุลมงกุฎหรือพระเกี้ยว ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5 รูปบนหน้าไม้ขีดไฟหรือที่เรียกกันว่าศิลปะบนกลักไม้ขีดไฟยังมีอีกมาก ซึ่งรูปวาดเหล่านี้ก็อาจจะวาดเพื่อการโฆษณาสินค้า หรือมีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
          ต่อมาในรัชกาลที่ 7  คนไทยก็สามารถผลิตไม้ขีดไฟเอง ได้ทำให้การนำเข้าไม้ขีดต่างประเทศลดลงในที่สุด โรงไม้ขีดในไทยยุคต้นๆ ได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด  ผลิตตรานกแก้ว  ตรารถกูบ , บริษัทตังอาจำกัด ผลิตตรามิกกี้เม้าท์ ตราแมวเฟลิกซ์, บริษัทไทยไฟ ผลิตตรา 24 มิถุนา เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย บริษัทเอเชียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่ ซึ่งการผลิตหน้าไม้ขีดนี้ก็เพื่อให้ประชาชนที่ใช้ไม้ขีดไฟได้รับความรู้อีกทางหนึ่ง บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่ ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทย ผลิตตรา ธงไตรรงค์ ตราพระยานาค ซึ่งมีขายมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้


ภาพจาก การจำลองเหตุการณ์จริง "การใช้งานไม้ขีดไฟ"
ไม้ขีดไฟกับโลกในปัจจุบัน
          สถานการณ์ของไม้ขีดไฟในปัจจุบันเริ่มลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานการผลิตไม้ขีดไฟ หรือสินค้าที่ผลิตออกมาจำหน่าย  ซึ่งหากหาสาเหตุของการลดลงนี้ก็คงไปพ้นคำว่า "เทคโนโลยี"  โดยในปัจจุบันสังคมที่เราอยู่กันนี้เป็นยุค ไอที ยุคการสื่อสาร ยุคเทคโนโลยี และเป็นที่แน่นอนว่าสินค้าต่างๆ ที่ผลิตมาอุปโภค บริโภค ก็ต้องสนองความต้องการของคนในยุคนี้ให้ดีที่สุด ความต้องการในข้อนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย ทำให้ไม้ขีดไฟที่มีข้อจำกัดในการใช้ในบางสถานการณ์เช่นไม้ขีดไฟที่ชื้นจากการเปียกน้ำจะใช้ไม่ได้ นี่ก็คือข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของไม้ขีดไฟในการพกพาไปตามสถานที่ต่างๆ ได้สะดวก เทคโนโลยี เลยมีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตสินค้า มาใช้แทน ไม้ขีดไฟ และนั่นก็คือ "ไฟแช็ค" นั่นเอง ซึ่งไฟแช็คนี้มีความสะดวกสบายกว่าไม้ขีดไฟ สามารถสนองตอบต่อความต้องการของคนในยุคนี้ได้ดีกว่า ไม้ขีดไฟซึ่งกำลังจะกลายเป็นตำนานไปแล้วในไม่ช้า

แหล่งที่มา http://www.lib.ru.ac.th/journal/match.html

ประวัติแว่นตา Ray.Ban



นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2480 Ray Ban ได้ถือกำเนิด และผลิตแว่นกันแดดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ในครั้งนั้นเรย์แบนนำเสนอรูปแบบที่เป็นหนึ่งเดียว มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระ กล้าหาญ และเสรี นับแต่นั้นเรย์แบนได้ สร้างความเชื่อถือในใจของผู้สวมใส่ และเป็นผู้นำในการผลิตแว่นกันแดดของโลกตลอดมา โดยจะเห็นได้ว่าความสำเร็จของเครื่องหมายทางการค้า เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในด้านสไตล์และคุณภาพ
การผลิตในช่วงแรกนั้น ได้ผลิตและวิจัยโดยบริษัท บัสแอนรอม
และเพื่อให้กับทางกองทัพอากาศสหรัสอเมริกา ในช่วงนั้นจึงได้ผลิต เป็นเลนส์ N-15 ในช่วง 30 ปี
ที่ผ่านและได้เปลี่ยน เป็น เลนส์ G-15 จากสีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสายตามนุษย์ และลดการผิดเพียน
ของสีได้น้อยที่สุด จึงได้รับความนิยมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รุ่นที่โด้งดังเช่น ทรง AVIATOR (ทรงนักบิน)
และในช่วงแรกนี้เองก็ได้ผลิตที่ USA เท่านั้น
หลังจาก ปี 1999 ทางเรย์แบนก็ได้เปลี่ยน ฐานผลิตมาเป็นที่ อิตาลี และได้ทำการผลิตแว่นและเลนส์เอง
โดยไม่ได้ ให้ทาง บริษัท บัสแอนรอม ผลิตต่อ ดังนั้นในช่วงที่ บริษัท บัสแอนรอม ผลิตนั้น ใด้ใช้ชื่อย่อ
เป็น BL และก็เปลี่ยน เป็น RB หลังปี 1999 เป็นมา ต่อมาก็ได้มีการผลิตเพิ่มเติมที่ ประเทศจีน
ในส่วนของแว่นสายตาเป็นส่วนมา และแว่นกันแดดเป็นบางส่วน

Ray Ban Wayfarer Wayfarer เป็นแบบแว่นกันแดดที่ขายดีมากที่สุดแบบหนึ่งของ Ray Ban ซึ่งออกแบบขึ้นมาโดย Raymond Stegeman นักออกแบบจากบริษัท Bausch and Lomb (บริษัทแม่ของ Ray Ban) ในปี 1952 ซึ่งในยุคนั้นได้ดาราฮอลลีวู๊ดชื่อดังสวมใส่ออกงานต่างๆอย่างเช่น Marilyn Monroe, Audrey Hepburn, และ James Dean ทำให้แว่นกันแดด Wayfarer ได้รับความนิยมแบบสุดๆเลยทีเดียว






แหล่งที่มา http://www.naligasiam.com/index.php?option=com_content&view=category&id=46&Itemid=99

Fixed Gear

"Fixed Gear หรือ Fixie" เป็นคำแสลงของจักรยานที่มีเกียร์เดียว และล้อหลังไม่สามารถฟรีได้ คือ เท้าจะต้องปั่นตามไปด้วยทุกครั้งที่รถวิ่งอยู่ และรถประเภทนี้เป็นรถที่ไม่ต้องการใบจานหลายใบ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ช่วยเหลือในการเปลี่ยนเกียร์ และบางคนก็ไม่ใช้เบรคด้วยซ้ำ
 

ตัวอย่าง เช่น นักปั่นจักรยานบางคนที่มีความชำนาญในการหยุดรถ โดยการรั้ง หรือ ยื้ดบันไดไม่ให้หมุนด้วยขาทั้งสองข้างในขณะที่จักรยานกำลังวิ่งอยู่

ทำไม Fixed Gear ถึงสนุก!!!????

เพราะ ว่านักปั่นส่วนใหญ่ ชอบที่จะตกแต่งจักรยาน ให้สวย และ ปั่นดีอยู่สม่ำเสมอ โดยการซื้ออุปกรณ์เสริมมาใส่ และตกแต่ง และอีกอย่าง รถจักรยาน Fixed Gear เป็นรถจักรยานที่ ไม่ต้องการการดูแลอย่างมาก เหมือนรถทั่วไป เพราะ ไม่มีเกียร์มาให้วุ่นวายใจด้วย
 

คุณคง อาจจะได้เห็นคนที่ปั่น fixed gear ไปตามท้องถนน ด้วยทักษะที่ต่างจากนั่งปั่นเสือหมอบ และ เสือภูเขา และบางทีคุณอาจจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องระบบเกียร์ว่าทำไม รถของพวกเราถึงมีแค่เกียร์เดียว แถมไม่สามารถฟรี หรือ พักปั่น ได้อีกต่างหาก นี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้เราหลงไหลในการปั่นจักรยานประเภทนี้

รถลู่ VS รถ fixed gear

บาง คนคิดว่า รถลู่ (Track Bike) และ Fixed Gear Bike คือ รถชนิดเดียวกัน จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะ รถลู่จะถูกออกแบบมาให้ใช้สำหรับวิ่งใน Velodromes (โดมในร่ม หรือนอก ที่ออกแบบมาเป็นสนามแข่งรูป วงรี) และถูกออกแบบมาไม่ให้มีเบรค เพราะว่าในการแข่งขัน จะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เบรค แถมวิ่งเป็นวงกลม ไม่มีมุมที่ต้องหักองศาเยอะด้วย และ พื้นของสนามแข่งยังเรียบมากๆ อีกด้วย และรถลู่จะถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบากว่าด้วย
 

แต่ ก็จะมีนักปั่นหลายๆคนที่นำรถ ลู่มาปั่นบนถนน ซึ่งไม่มีปัญหา แต่ว่ารถที่เหมาะกับถนนจะได้แก่ รถที่ออกแบบมาให้ปั่นในท้องถนนจริงๆ เช่นรถ Single Speed ที่มีเบรคติดมาให้ด้วยนั่นเอง

แหล่งที่มา http://www.ohbar.com.au/main/view-content.php?id_content=851

ประวัติโค้ก

 
โค้กถูกคิดค้นโดย ดร.จอห์น เพ็มเบอร์ตัน ที่เมืองแอตแลนต้าในมลรัฐจอร์เจีย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1886 เภสัชกรท้องถิ่นท่านนี้เป็นผู้ผลิตหัวเชื้อน้ำหวานมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเมื่อ ดร.เพมเบอร์ตัน ปรุงหัวเชื้อน้ำหวาน ขึ้นมา ได้สำเร็จในหม้อทองเหลืองสามขา ซึ่งตั้งอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านของเขา ชายผู้นี้ก็รีบถือเหยือกที่บรรจุ น้ำหวานรสชาติใหม่ มุ่งตรงไปยังร้านขายยาจาค็อป ณ ที่นั่น หลายต่อหลายคน ได้ลิ้มลองน้ำหวานของ ดร.เพ็มเบอร์ตัน ต่างก็ชมเป็นเสียง เดียวกันว่า "รสชาติเยี่ยม" หลังจากนั้นไม่นาน ดร.เพ็มเบอร์ตัน ก็เริ่มปรุงเครื่องดื่มชนิดนี้ขายที่ร้านจาค็อปส์โดยคิดราคาแก้วละ 5 เซ็นต์ ต่อมาไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ ได้มีผู้นำน้ำอัดก๊าซคาร์บอนมาผสมกับหัวน้ำหวานที่ ดร.เพ็มเบอร์ตันปรุงขึ้น จนกลายเป็นเครื่องดื่มที่ "สดชื่น ดับกระหาย ได้รสชาติ" แม้จนกระทั่ง ในปัจจุบัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ดื่ม โคคา-โคลา ก็ต้องรู้สึกเช่นนั้น
มร.แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน หุ้นส่วนและสมุหบัญชีของ ดร.เพ็มเบอร์ตัน ออกความ เห็นว่า "ถ้าใช้ตัวอักษร C สองตัว ในโฆษณาเครื่องดื่มชนิดนี้ก็น่าจะเข้าท่าดี" ดังนั้น เขาจึงแนะให้ตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า "Coca-Cola" เมื่อตกลงใจดังนั้น มร.โรบินสัน ก็เขียน คำว่าโคคา-โคลา ด้วยลายมือของเขาเอง ซึ่งต่อมาได้กลาย เป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก โฆษณาชิ้นแรกของ โคคา-โคลา ปรากฎในหนังสือพิมพ์แอตแลนต้า เจอร์นัล มีข้อความเชิญชวนให้ ผู้กระหายน้ำทั้งหลาย หันมาลอง "เครื่องดื่มชนิดใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม"
 


นอกจากนั้น ยังแขวนป้ายโฆษณาที่ทำจากผ้าอาบน้ำมันไว้ที่กันสาดหน้าร้านจาค็อปส์ โดยมีการระบุคำว่า "โคคา-โคลา" อยู่และเหนือคำว่า โคคา-โคลา ก็เติมคำว่า "ดื่ม" เพื่อให้คนอ่านทราบว่า มีเครื่องดื่มชนิดใหม่วางขายอยู่ในช่วงปีแรก โคคา-โคลา มียอดขายประมาณ 9 แก้ว ต่อวัน ดร.เพ็มเบอร์ตัน ไม่คิดเลยว่าเครื่องดื่มที่เขาคิดค้นขึ้นจะทำกำไรมากมาย เขาจึง จัดแจงขายหุ้นกิจการโคคา-โคลา ในส่วนของเขาให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆจนเกือบหมด หลังจากดำเนินการมาได้ไม่นาน และก่อนหน้าที่ ดร.เพ็มเบอร์ตันจะถึงแก่กรรม เพียงไม่กี่ปี เขาก็ขายหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้กับ อาซา จี. แคนเลอร์ นักธุรกิจ ชาวเมืองแอตแลนต้าผู้มีพรสวรรค์ทางการค้าต่อมา มร.แคนเลอร์ คนนี้เองก็กว้าน ซื้อหุ้นทั้งหมดจนกลายเป็นเจ้าของกิจการ โคคา-โคลา เพียงผู้เดียว
 
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที 19 ในระหว่างการบูรณะประเทศหลังสงคราม ผู้ประกอบการพยายามชูโค้กให้เป็นเครื่องดื่มที่ปริ่มล้นด้วยคุณสมบัติของ “ยาบำรุงสมอง” ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะในยุคของ “การสร้างบ้านแปลงเมือง” และในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง โค้กจึงได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่โดยการนำซานตาคลอสมาใช้ในการโฆษณาเพื่อสื่อถึง “ความฟุ่มเฟือยที่ท่านมีกำลังซื้อ” และในหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โค้กได้ก้าวไปพร้อมๆกับโลกที่พยายามแสวงหาสันติภาพ
โค้กมีภาพของอเมริกาที่หรูหรา ร่ำรวย และรักชาติ มีคุณสมบัติที่มองไปข้างหน้าเสมอ ในระยะเริ่มต้นผู้บริโภครักโค้กเพราะโค้กเป็นของใหม่และแตกต่าง และบางทีอาจเป็นเพราะโค้กสามารถรักษาอาการป่วยของพวกเขาได้จริง ต่อมาพวกเขาถือว่าโค้กเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยที่ผ่านมาและผ่านไป
โค้กใช้เวลาไม่นานก็ประสบความสำเร็จในอเมริการวมและตอกย้ำชัยชนะนั้นไปทั่วโลกกลายเป็นแบรนด์ที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุด
 
โค้กผ่านศตวรรษแรกของธุรกิจไปด้วยความสำเร็จอย่างงดงาม ผู้ประกอบการได้วางแผนธุรกิจสำหรับอนาคตเพื่อควบคุมธุรกิจจากบนลงล่าง ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท จากยุคแรกๆที่จัดจำหน่ายเพียงหัวเชื้อของผลิตภัณฑ์ ส่วนการบรรจุขวดและจัดจำหน่ายเป็นของผู้ประกอบการรายย่อยอื่นๆ ดังนั้นโค้กจึงได้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่เป็นโค้กชนิดพกพา นั่นคือการควบรวบทั้งการผลิตหัวเชื้อและการบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่าย ซึ่งส่งผลต่อยอดขายที่มากขึ้นกว่ายอดขายจากการจัดจำหน่ายหัวเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่นั่นกลับทำให้บริษัทโคคา โคล่ายุ่งยากมากขึ้น เมื่อผู้ประกอบการแต่ละรายก็ต่างที่จะแย่งชิงตลาดโค้กขวด ดังนั้นบริษัทโคคา โคล่า จึงต้องล้มล้างอำนาจของผู้ประกอบการเหล่านี้ โดยใช้กลยุทธ์ที่กลับไปสู่จุดเริ่มต้นทั้งหมด
 
 
 
จนกระทั่งปี 1981 โค้กประสบความสำเร็จจากกลุ่มผู้บริหารภายใต้การนำของโรแบร์โต กอยซูเอตาและ ดั๊ก ไอเวสเตอร์ที่มีวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานกลยุทธ์ ได้พลิกตัวเองขึ้นมาใหม่โดยมุ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของนักลงทุนซึ่งทำให้โค้กมีอำนาจผูกขาดในธุรกิจการบรรจุและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
โคคา-โคล่า ถือได้ว่าเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่อยู่ในใจของผู้บริโภคมาตลอดกว่า 100 ปี จนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลกได้

แหล่งที่มา http://coke-world.exteen.com/20080805/entry-1

ประวัติ รองเท้า(Converse)




Converse นั้นเป็นบริษัทผลิตรองเท้าที่มีต้นกำเนิดในสหรัฐอเมริกา โดยทางบริษัทConverse Rubber Corporation ได้เริ่มเปิดกิจการตั้งแต่เมื่อปี 1908 ซึ่งผู้ก่อตั้งคนแรกก็คือ มาร์ควิส เอ็ม คอนเวอร์ส โดยร้านแห่งแรกที่เมืองมัลเดน มลรัฐแมสซาชูเซตส์


สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้ร้านแห่งนี้โด่งดังขึ้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1917 เมื่อมีการทำรองเท้าผ้าใบรุ่น "All-Star" ออกสู่ตลาด ในปีถัดมา ชาร์ลส์ เอช "ชัค" เทย์เลอร์ บุคคลผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับบริษัทแห่งนี้จึงได้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งตัวชัคนั้นเป็นนักบาสเก็ตบอลผู้เล็งเห็นว่า รองเท้าคอนเวอร์สนั้นจะต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการนักบาสเก็ตบอล ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าร่วมทำงานเป็นเซลส์แมนและเป็นทูตคอยโปรโมตสินค้าให้กับคอนเวอร์ส โดยระหว่างเดินทางไปแข่งขันบาสเก็ตบอลทั่วทั้งสหรัฐฯ ชัคจะแนะนำรองเท้าคอนเวิร์ส์ไปด้วย ทำให้คอนเวอร์สกลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่นักบาสเก็ตบอลและวัยรุ่นอเมริกัน ด้วยเหตุนี้ ในปี 1923 ทางคอนเวอร์สจึงนำชื่อ Chuck Taylor's ไปปรากฏร่วมกับโลโก้ของตนที่ติดอยู่บริเวณส่วนที่หุ้มข้อเท้า ทำให้ผู้คนมักเรียกรองเท้านี้ว่า "ชัคส์" ส่วนตัวชัคเองนั้น เขาทำงานให้กับคอนเวอร์สอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 1969

อย่างไรก็ตาม รองเท้าชัคส์นั้นมีแต่สีดำและสีขาวเป็นเวลานานหลายทศวรรษ แต่เมื่อทีมบาสเก็ตบอลต่างๆ ต้องการที่จะให้รองเท้ามีสีอื่นๆด้วย ทำให้เมื่อปี 1966 คอนเวอร์สจึงต้องผลิตรองเท้าสีอื่นๆ นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นๆในการทำรองเท้าด้วย เช่น หนัง หนังกลับ ไวนีล ป่าน แทนที่จะเป็นผ้าใบเพียงอย่างเดียว
ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้น 1980 นั้น คอนเวอร์สได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ปรากฏว่ามีคู่แข่งหน้าใหม่ เช่น ไนกี้ เข้ามาช่วงชิงลูกค้าไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย ทำให้คอนเวอร์สไม่ได้เป็นรองเท้าแห่งวงการเอ็นบีเออีกต่อไป จากเหตุผลนี้บวกกับการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดอีกหลายครั้งทำให้คอนเวอร์สต้องเผชิญภาวะล้มละลาย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2001 ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนมือไป และในปีนั้นเองที่โรงงานแห่งสุดท้ายในสหรัฐฯได้ถูกปิดลงไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบันรองเท้าคอนเวอร์สจะถูกผลิตจากประเทศต่างๆในทวีปเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2003 ทางคอนเวอร์สได้รับข้อเสนอของไนกี้ ในการเข้ามาเทคโอเวอร์ด้วยเงินจำนวน 305 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แม้ว่าคอนเวอร์สจะต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่รองเท้าคอนเวอร์ส Chuck Taylor All-Star นั้นถือว่าเป็นรองเท้าที่ขายดีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในศตวรรษที่ 21 มีรองเท้ารุ่นดังกล่าวถึง 600 ล้านคู่ที่ถูกขายออกไปทั่วโลก และแม้ว่าปัจจุบัน นักบาสเก็ตบอลจะไม่ใส่คอนเวอร์สกันอีกต่อไปแล้ว แต่คอนเวอร์สยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักดนตรี วัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วโลกแทน
ทั้งนี้ นอกจากรุ่นชัคแล้ว รองเท้าคอนเวอร์สอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ แจ็ก เพอร์เซลล์ ซึ่งผลิตกันมาตั้งแต่ปี 1935 โดยตั้งชื่อตาม แจ็ก เพอร์เซลล์ ยอดนักแบดมินตันและนักเทนนิสที่โด่งดังมากในสมัยนั้น และแจ็กเองก็เป็นผู้ที่ช่วยออกแบบรองเท้าด้วยตัวเองอีกด้วย


แหล่งที่มา   http://campus.sanook.com/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81-converse-928420.html

ประวัติกางเกงยีนส์





ยีนส์มีกำเนิดมาหลายร้อยปีแล้วอย่างที่ตั้งข้อสงสัยจริง ๆฝรั่งเรียกยีนส์ว่า บลูยีนส์ (Blue  Jeans) เพราะยีนส์มีสีโทนน้ำเงินมาแต่กำเนิด  ไม่ได้มีสีต่าง ๆ ให้เลือกอย่างในปัจจุบัน
       ผ้ายีนส์ขนานแท้เป็นผ้าฝ้ายลายสอง  ใช้สำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าใส่ทำงานที่ต้องการความทนทาน  ผ้ายีนส์ทั่วไปทอจากเมืองเจนัว (Genoa) ประเทศอิตาลี แต่ช่างทอผ้าชาวฝรั่งเศสเรียกเมืองนี้ว่า  แชน(Genes)  อันเป็นที่มาของคำว่า  ยีนส์  นั่นเอง
       อย่างไรก็ดีต้นกำเนิดของยีนส์นั้นดำเนินควบคู่มากับประวัติของช่างเสื้อวัย ๑๗ ที่ชื่อลีวาย  สเตราส์ (Levi Strauss) ซึ่งอพยพมาอยู่ซาน  ฟรานซิสโก  ในยุคเฟื่องของเหมืองทอง ราวทศวรรษที่ ๒๓๙๓-๒๔๐๓ แต่แทนที่เขาจะร่วมเสี่ยงโชคขุดทองดังวัตถุประสงค์ของผู้คนทั้งหลายที่หลั่งไหลเข้าชาน ฟรานซิสโก  ด้วยสายตานักธุรกิจที่กว้างไกลเขากลับนำผ้าใบมาขาย  ซึ่งตรงกับความต้องการของตลาดในช่วงนั้นมาก  นักขุดทองพากันซื้อผ้าใบมาใช้เป็นเต็นท์และใช้คลุมรถ  ความฉลาดเฉลียวของพ่อหนุ่มคนนี้ยังมองเห็นช่องทางอื่นอีก เขารู้ว่าคนที่ทำงานในเหมืองต้องการกางเกงที่เหมาะกับลักษณะงานลุยมาก  เขาจึงนำผ้าใบซึ่งทนต่องานหนัก ๆ ได้ดีมาใช้ตัดเย็บเสื้อกางเกง
       ถึงแม้กางเกงจากฝีมือของเขาจะหยาบและผ้าก็กระด้าง แต่บรรลุความต้องการใช้งานได้ดียิ่ง ทำให้สเตราส์กลายเป็นช่างที่ทุกคนเรียกหา
       ในต้นทศวรรษที่ ๒๓๙๔-๒๔๐๔ เขาได้เปลี่ยนจากผ้าใบมาใช้ผ้าฝ้ายที่มีเนื้อนุ่มกว่า  เป็นผ้าที่ทอจากเมืองนีม ประเทศฝรั่งเศส  ชาวยุโรปเรียกผ้าชนิดนี้ว่า แซร์จ เดอ นีม (Serge  de  nimes)  แต่คนอเมริกันเรียกเป็น เดนิม (denim) นายสเตราส์ยังค้นพบด้วยว่า  สีของผ้าเดนิมซึ่งเป็นสีฟ้าครามช่วยปิดบังรอยเปื้อนดินได้ดี  ดังนั้นสินค้าปรับปรุงใหม่ของเขาจึงขายดิบขายดีไม่ยิ่งหย่อนกว่าเก่า  พวกคาวบอยซึ่งต้องการกางเกงที่กระชับจะใช้วิธีใส่กางเกงแล้วลงไปแช่ในรางซึ่งใส่น้ำไว้ให้ม้ากิน  จากนั้นจึงลุกมานอนตากแดดให้ผ้าเดนิมหดเข้ารูป
       ถึงผ้าเดนิมจะขาดยาก  แต่ลูกค้าคนงานในเหมืองก็ยังติว่า  ฝีเย็บกระเป๋ามักจะแตกเพราะต้องใส่เครื่องมือหนัก ๆ  สเตราส์จึงแก้ปัญหาด้วยการหยิบยืมความคิดของช่างเสื้อชาวยิว-รัสเซีย  ผู้หนึ่ง  ชื่อ จาคอบ ดาวิส ในปี ๒๔๑๖ เขาจึงใช้หมุดทองแดงติดย้ำที่ตะเข็บกระเป๋า  และที่ฐานของสาบกางเกงเพื่อกันตะเข็บปริขณะนั่งร่อนทอง
       แต่หมุดทองแดงก็ก่อปัญหาใหม่ขึ้น  เพราะคนงานเหมืองไม่ค่อยอินังขังขอบกับการสวมกางเกงใน  เวลานั่งผิงไฟยามค่ำคืนหมุดทองแดงจะร้อนและไหม้ผิว  การใช้หมุดทองแดงจึงต้องเลิกราไป
       ส่วนหมุดที่กระเป๋าใช้กันอยู่จนถึงปี ๒๔๘๐ จึงเลิกไปด้วยเหตุผลคนละอย่าง  กล่าวคือ  สมัยนั้นเด็ก ๆ ใส่ชุดยีนส์ไปโรงเรียน หมุดที่กระเป๋าหลังจึงขูดขีดโต๊ะเก้าอี้ไม้เป็นรอย  ต้องซ่อมแซมกันเป็นการใหญ่ยีนส์ปรากฏหลักฐานการเข้าสู่วงการแฟชั่นในปี ๒๔๗๘ ด้วยการลงโฆษณาในหนังสือโว้ค เป็นภาพผู้หญิงที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคมสองคนสวมยีนส์ทรงคับ ดึงแนวโน้มแฟชั่นให้เป็น 'เท่แบบตะวันตก'  แต่ความคลั่งไคล้ในช่วงนั้นยังไม่อาจเทียบกับช่วงทศวรรษที่ ๒๕๑๓-๒๕๒๓ ซึ่งมีการประชันขันแข่งการออกแบบชุดยีนส์กันอย่างเข้มข้น กางเกงยีนส์จึงเปลี่ยนหน้าที่จากการรับใช้งานหนักมาเป็นกางเกงสำหรับใส่เล่น  จนถึงกับทำให้เกิดอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้าน ยีนส์ยี่ห้อดังบางยี่ห้อขายได้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ตัวต่อสัปดาห์ทีเดียว

แหล่งที่มา http://guru.sanook.com/answer/question/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%8C/

History of Vespa




Vespa เป็นยี่ห้อของรถที่เรียกว่า “Scooter” ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนายเอนริโก้ เพจจิโอ ร่วมกับวิศวกรที่มีความสามารถอย่าง คอลลาดิโน ดัสคานิโอ ชาวอิตาเลียนโดยสิ่งที่ ดัสคานิโอ จะทำคือ รถ scooter ที่ ผู้หญิงก็สามารถขี่ได้อย่างสะดวกสบายเหมือนผู้ชาย สามารถป้องกันผู้ขับขี่ ได้จากการลื่นไหลในวันฝนตก สามารถป้องกันเสื้อผ้า จากคราบน้ำมันได้ และที่สำคัญ จะต้องมียางอะไหล่ และต้องเป็นรถที่มีน้ำหนักเบา ง่ายต่อการขับขี่ ค่าซ่อมแซมไม่แพง ซึ่งเขาก็ได้สร้างมันขึ้นมาเป็นเจ้า “ Vespa” นั่นเอง และในที่สุด เมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1946 รถ Scooter คันแรกก็เกิดขึ้น โดยใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะ 98 cc. ใช้ น้ำมันเพียง 5% ในการเดินเครื่อง เกียร์ที่บังคับ อยู่ที่แฮนด์ ด้านซ้าย รูปลักษณ์ และ ชิ้นส่วน ที่ป่องออก และ เว้าเข้าเหมือนเอว ส่วนหน้าเหมือนปีก รวมถึง เสียงเครื่องยนต์ที่มีเสียง หึ่งๆ ตลอดเวลา เหมือนตัวต่อ Scooter ชนิดนี้ จึงได้รับสมญานามว่า Vespa ( แปลว่า ตัวต่อ ในภาษาอิตาลี )






การนำเข้า Vespa ของประเทศไทย ในช่วงแรก ๆ เป็นการซื้อขายเพื่อเป็น รถใช้งาน โดยแพร่หลายอยู่ในกลุ่มพ่อค้าผ้า จากนั้นประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตีตลาด โดยรถมอเตอร์ไซค์ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ จนทำให้ Vespa เริ่มเสื่อมความนิยมลง แต่ก็ยังคงเห็นพ่อค้าผ้า ตามย่านพาหุรัดยังใช้กันอยู่ อาจเป็นเพราะ Vespa เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีดีไซน์เก๋ไก๋ แถมทนทาน ใช้งานได้นานแรมปีอีกด้วย
แหล่งที่มาhttp://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-306.html